5 จุดสังเกตเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศอย่างมือโปร 2019 สู้ #ฝุ่นPM25 (ไม่มีโฆษณา)

📌 5 จุดสังเกตเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศอย่างมือโปร 2019 สู้ #ฝุ่นPM25 (ไม่มีโฆษณา)

เมื่อประเทศไทยถูกต้อนรับปี 2019 ด้วยฝุ่น PM2.5 มหาสนุก ที่ไม่มีวี่แววว่าจะหายไปง่ายๆ ทำการดูแลตัวเองของทุกคนเริ่มถึงคำว่าจำเป็นแล้ว เครื่องฟอกอากาศจึงเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่สำคัญสำหรับบ้าน แต่ในท้องตลาดนั้นก็มีเครื่องฟอกอากาศหลายยี่ห้อ และหลายรุ่น iURBAN เราให้ความสำคัญในการเลือกเครื่องฟอกอากาศมาก จนมั่นใจในระดับเชี่ยวชาญพอจะแนะนำทุกท่านได้ว่า ควรจะดูอะไรบ้าง ก่อนที่จะกำเงินไปซื้อของ

เพื่อเป็นการแนะนำแบบไม่ผสมไบแอส เราจะไม่แนะนำยี่ห้อในบทความนี้
particular matter 1 5 จุดสังเกตเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศอย่างมือโปร 2019 สู้ #ฝุ่นPM25 (ไม่มีโฆษณา)

ฝุ่น PM2.5

จากภาพนี้จะเห็นได้ว่าฝุ่น PM2.5 นั้นเล็กแค่ไหนเมื่อเทียบกับขนาดเส้นผม แทบจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังนั้นมันจึงสร้างผลกระทบกับสุขภาพได้อย่างที่เราต้องป้องกันตัวกันจริงๆ ที่พักอาศัยเป็นสถานที่ที่ควรจะไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากาก เมื่อปิดบ้านมิดชิดแล้วเปิดเครื่องฟอกอากาศ อย่างน้อยก็ให้เราใช้ชีวิตได้อย่างปกติในพื้นที่เล็กๆ

rescue worker XSRCVQW 1 5 จุดสังเกตเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศอย่างมือโปร 2019 สู้ #ฝุ่นPM25 (ไม่มีโฆษณา)

ออฟฟิศที่ไหนแจกหน้ากากให้พนักงานเป็นสวัสดิการบ้างไหมเนี่ย

และนี่คือปัจจัยที่คุณต้องสังเกตุเมื่อเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ

1. ความละเอียดของฟิลเตอร์ HEPA/EPA

หัวใจสำคัญที่สุดของเครื่องฟอกอากาศทุกเครื่อง คือ ไส้กรองอากาศ โดยระบบการทำงานของเครื่องฟอกอากาศเกือบทั้งหมด  ฟอกอากาศด้วยการนำอากาศเสียวิ่งผ่านไส้กรองเพื่อให้ได้อากาศดีออกมา โดยมาตรฐานโลกของไส้กรองอากาศนั้นมีชื่อเรียกกันว่า HEPA (High Efficiency Particulate Air) ชื่อมาตรฐานของฟิลเตอร์เครื่องฟอกอากาศที่ใช้ในตลาดตอนนี้ 90% โดยลักษณะจะเป็นแผงกระดาษที่มีเนื้อเป็นเส้นใยไฟเบอร์ทอความหนาระดับหนึ่งวางสลับฟันปลากันไปมา เพื่ออากาศสามารถผ่านได้โดยที่ดักฝุ่นเอาไว้ให้ติดกับเนื้อฟิลเตอร์

HEPA Filter diagram en 5 จุดสังเกตเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศอย่างมือโปร 2019 สู้ #ฝุ่นPM25 (ไม่มีโฆษณา)

ภาพวาดลักษณะฟิลเตอร์ HEPA และเนื้อไส้กรองเมื่อซูมจะเห็นเป็นเส้นใยไฟเบอร์พันกันไปมาเพื่อดักจับฝุ่น ภาพจาก wikipedia

ความละเอียดของฟิลเตอร์ HEPA นั้นละเอียดถึงระดับสามารถดักจับแบคทีเรียและเกษรดอกไม้อันเป็นสาเหตุของอาการภูมิแพ้ได้โดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยีอื่นช่วยเลย ซึ่งมาตรฐานของฟิลเตอร์นั้นมีตั้งแต่ EPA, HEPA และ ULPA เรียงตามลำดับความละเอียดในการดักจับฝุ่นละออง ซึ่งได้ถึง 99.95%-99.995% แล้ว แต่สำหรับฟิลเตอร์ EPA นั้นเริ่มต้นที่ 85%-99.5% ดังนั้นก็เรียกได้ว่า ให้เลือกฟิลเตอร์ที่เป็น HEPA ไว้ก่อนจะดีกว่า

hepa epa 1 5 จุดสังเกตเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศอย่างมือโปร 2019 สู้ #ฝุ่นPM25 (ไม่มีโฆษณา)

ตารางเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์กรองฝุ่นตั้งแต่ E (EPA) 85%, H (HEPA) และ ULPA

อันที่จริงในตารางจะเห็นว่า มีระดับที่สูงกว่าคือ ULPA ด้วย แต่เมื่อถึงระดับ HEPA ก็ดักจับได้ 99.95% แล้ว ดังนั้นเครื่องฟอกอากาศส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนำเทคโนโลยี ULPA มาใช้ให้สิ้นเปลือง สำหรับผู้บริโภคอย่างเรามองหาแค่ HEPA ก็ดีเยี่ยมแล้ว แต่ในตลาดวันนี้ยังคงมีเครื่องฟอกอากาศที่ใช้ไส้กรองอากาศระดับ EPA (รุ่นต่ำกว่า) จำหน่ายอยู่ด้วยเช่นกัน ในราคาที่พอกันกับ HEPA

hepa filter 5 จุดสังเกตเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศอย่างมือโปร 2019 สู้ #ฝุ่นPM25 (ไม่มีโฆษณา)

ฟิลเตอร์ HEPA ในลักษณะต่างๆ มีทั้งแบบแผง แบบกลม โครงเหล็ก และโครงกระดาษ แตกต่างกันตามการออกแบบ

จากรูปด้านบน จะพบว่า การออกแบบฟิลเตอร์ HEPA นั้นมีหลากหลายรูปแบบ ไม่มีแบบไหนดีกว่ากัน แต่มีบางยี่ห้อที่นำอากาศผ่าน HEPA ถึง 2 ชั้น ก็มี ซึ่งก็อาจเพิ่ม % ในการใช้งานจริงมากขึ้นได้ แม้ว่า HEPA สามารถดักจับแบคทีเรียได้ แต่ไม่ว่าแบบไหนก็ไม่สามารถดักจับไวรัสได้ แม้แต่ฟิลเตอร์ ULPA เนื่องจากมีขนาดเล็กกว่าไส้กรองลงไปอีก (ซึ่งการฆ่าเชื้อไวรัสบางยี่ห้ออาจเคลมไว้ จะอธิบายในภายหลัง)

2. ปริมาณอากาศ และ ขนาดของห้อง

สิ่งสำคัญไม่แพ้ไส้กรองอากาศอีกอย่างก็คือ ความสามารถในการฟอกอากาศในด้านปริมาณ แน่นอนว่าเครื่องฟอกอากาศที่สามารถฟอกอากาศได้จำนวนมากนั้นย่อมมีราคาสูงกว่าเครื่องฟอกอากาศสำหรับห้องนอน หรือพื้นที่ขนาดเล็ก ดังนั้น ก่อนการเลือกรุ่นเครื่องฟอกอากาศ เราจำเป็นจำต้องทราบว่าเราจะนำไปใช้กับห้องไหนเสียก่อน ถ้าหากห้องมีขนาดที่แตกต่างกันมาก เช่น ห้องนอน กับ ห้องนั่งเล่น เราอาจใช้ร่วมกันไม่ได้

คำนวนขนาดห้อง ถ้าหากเป็นคอนโด อาจวางเครื่องฟอกอากาศไว้ที่ห้องที่มีพื้นที่มากที่สุดเพียงเครื่องเดียว แล้วคำนวนขนาดของพื้นที่ทั้งหมดรวมกันได้ วิธีการคำนวนห้องแบบง่ายที่สุด คือ การนำ กว้าง (เมตร) x ยาว (เมตร) โดยยังไม่ต้องรวมส่วนสูงของห้องให้คำนวนยาก (ยกเว้นเพดานสูง 2 ชั้นแบบ Double Volumn) ก็จะได้พื้นที่ห้องเป็นตารางเมตร เช่น ห้องกว้าง 4 เมตร ยาว 6 เมตร = พื้นที่ 24 ตร.ม. เป็นต้น

กับดักการคำนวนพื้นที่: เกือบทุกแบรนด์จะบอกคุณให้ง่ายๆ ว่า เครื่องฟอกอากาศนี้ จะสามารถใช้ได้กับห้องขนาดเท่าไหร่ เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจ แต่บางแบรนด์จะไม่ได้บอกคุณว่า “ใน 1 ชั่วโมงจะฟอกอากาศจนครบหมดได้กี่รอบ” ถ้าหากคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ยินดีด้วย คุณจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเลือกเครื่องฟอกอากาศได้โดยไม่ต้องโดนเซลหลอกอีกต่อไป เพราะบางเครื่อง 1 ชั่วโมง ฟอกได้ 2 รอบ บางเครื่องได้ 4-6 รอบ โห มันต่างกันมากใช่ไหม?

สิ่งนี้สามารถดูได้จากค่า CADR หรือย่อมาจาก Clean Air Delivery Rate เป็นค่ามาตรฐานที่ใช้ทดสอบเครื่องฟอกอากาศ หมายถึง “อากาศที่ฟอกแล้ว” ที่ออกจากเครื่อง ไม่ใช่แค่อากาศที่วิ่งผ่านโดยยังไม่ฟอก โดยจะบอกเป็น ลูกบาศเมตร (m³) ต่อชั่วโมง เช่น 200m³/h หรือ 500m³/h ซึ่งค่าตรงนี้เป็นค่าที่คุณควรให้ความสนใจอย่างแท้จริง เพราะจะทำให้คุณสามารถเปรียบเทียบเงินที่ต้องจ่ายกับยี่ห้อคู่แข่งได้อย่างแท้จริง

แม้จะมีฟังก์ชั่นอื่นๆ แต่เราแนะนำให้โฟกัสที่ค่า CADR นี้ก่อน ถ้าหากเทียบแล้วแพงแต่คุณรับได้ ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร คำถามที่คุณจะถามเซลสินค้าได้คือ “เครื่องนี้หนึ่งชั่วโมงฟอกได้กี่รอบ” “C-A-D-R ได้เท่าไหร่” ก็จะเริ่มเป็นคำถามที่เซลรู้แล้วว่าขายของให้คุณมั่วๆ ไม่ได้แล้ว

คำแนะนำ: ถ้าหากการเพิ่มขนาด CADR (หรือเพิ่มไซส์เครื่องฟอกอากาศ) แล้วไม่ได้เพิ่มเงินมากเท่าไหร่นัก การซื้อเครื่องใหญ่ไว้ก่อนก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะจะทำให้เครื่องฟอกไม่ต้องทำงาน max speed ตลอดเวลา (เสียงมักจะดังรบกวน)

ถ้าหากบ้านของคุณมีลักษณะเป็นห้องหลายห้องต่อกัน มีมุมผนังแบ่งเป็นสัดส่วน การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศตัวเล็ก วางกระจายตามแต่ละโซน อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการซื้อเครื่องฟอกอากาศตัวใหญ่ตัวเดียว

3. การเปลี่ยนฟิลเตอร์เครื่องฟอกอากาศในอนาคต

แน่นอนว่าเครื่องฟอกอากาศตั้งแต่การใช้งานวันแรก ประสิทธิภาพจะลดเรื่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งฟิลเตอร์นั้นหมดอายุการใช้งาน ซึ่งการหมดอายุการใช้งานนั้นไม่ได้หมายถึงมันเละเป็นผล สภาพมันยังจะคงปกติเราไม่สามารถสังเกตได้จากภายนอก แต่มันอาจเก็บฝุ่นจนเต็ม ไม่สามารถดักจับเพิ่มได้แล้ว การเปิดเครื่องฟอกอากาศจึงเหมือนแค่เปิดพัดลมให้เปลืองไฟไปเท่านั้น ดังนั้น คุณจำเป็นจะต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนฟิลเตอร์เป็นอีกหนึ่งปัจจัย โดยคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้

  1.  รู้ได้ไงว่าฟิลเตอร์หมด เครื่องฟอกอากาศหลายรุ่นจะมีตัวจับเวลาการเปิดปิดเครื่อง เพื่อแจ้งให้คุณทราบถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนฟิลเตอร์ มันช่วยให้ชีวิตสะดวกกว่ามาก แต่เครื่องฟอกอากาศรุ่นเล็กๆ อาจไม่มีระบบแจ้งเตือนตรงนี้
  2. ฟิลเตอร์ราคาเท่าไหร่ เป็นอีกหนึ่งที่คุณต้องนำมาคำนวนค่าใช้จ่ายต่อปี สำหรับเครื่องฟอกอากาศ ซึ่งไม่ใช่อุปกรณ์ที่จ่ายครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องมีการดูแลเปลี่ยนฟิลเตอร์อยู่เป็นประจำ ยี่ห้อพรีเมียมก็ไม่ได้ฟิลเตอร์แพงเสมอไป ลองสอบถามจากเซลดูได้ ว่าเปลี่ยนทั้งหมดเท่าไหร่ (บางรุ่นมีเปลี่ยนหลายชิ้น)
  3. ซื้อฟิลเตอร์ได้ที่ไหน ความสะดวกก็จัดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ลดต้นทุนการเดินทางไปซื้อได้ สามารถสั่งออนไลน์ได้หรือไม่ มีคนขายบน Lazada บ้างไหม (เผื่อคนขายแข่งราคากัน ผู้บริโภคก็ยิ้มเลย) ซื้อกับผู้จำหน่ายเครื่องได้ไหม หรือต้องสั่งจากศูนย์อย่างเดียว
  4. มีฟิลเตอร์แบบไหนให้เลือกบ้าง มีหลายรุ่นมีการเพิ่มความสามารถฟิลเตอร์ HEPA เข้าไป ที่เห็นได้บ่อยคือ การเพิ่มคาร์บอน (หรือถ่าน) เข้าไปเพื่อช่วยในการดูดซับกลิ่น เหมือนกันเอาถ่านไปวางในตู้เย็น (ถ่านดำๆ หุงข้าวนะ ไม่ใช่ถ่ายไฟฉาย) และบางรุ่นก็มีการเพิ่มการฆ่าเชื้อโรค เพิ่มการกำจัดกลิ่นพิเศษเข้าไปอีก ลองสอบถามผู้จัดจำหน่าย

air pollution over the town P4Z3S7S 1 5 จุดสังเกตเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศอย่างมือโปร 2019 สู้ #ฝุ่นPM25 (ไม่มีโฆษณา)

4. ฟังก์ชั่นเสริมในการฆ่าเชื้อโรค

ในการแข่งขันแบบเสรีทำให้หลายยี่ห้อก็พยายามพัฒนาฟังก์ชั่นที่เป็นลิขสิทธิ์หรือฟังก์ชั่นเสริมขึ้นมา มีการนำ Ion (ไอ-ออน) มาช่วยในการกำจัดเชื้อโรค ผสมสูตรเป็นพลาสม่า ซึ่งบางฟังก์ชั่นอาจไม่เหมาะสมต่อการเปิดนาน เช่น Ozone ที่ฆ่าเชื้อโรคและเซลขนาดเล็กมากได้ แต่จะทำให้เซลร่างกายของเรามีผลไปด้วยเช่นกัน อาจเปิดใช้บางเวลาที่จำเป็น หรือหลีกเลี่ยง

แต่ก็มีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อแข่งขันกันอย่างสร้างสรรค์ เช่น การปล่อยประจุไฟฟ้าเพื่อฆ่าเชื้อโรค การใช้แสงอัลตราไวโอเลทเพื่อฆ่าเชื้อโรค การใช้ความชื้นผสมไฟฟ้าหรือไทเทเนียม และอีกมากมาย ซึ่งจะทำให้แต่ละยี่ห้อนั้นมีเทคโนโลยีท่ีแตกต่างกันแบบที่คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนได้

5. ฟังก์ชั่นเสริมการทำงานอัตโนมัติ

เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชั่นเสริมที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกในยุคนี้ หลายเครื่องสามารถเชื่อมต่อ WIFI และสามารถควบคุมผ่านทางแอพมือถือได้ บางเครื่องมีการวัดคุณภาพอากาศว่าตอนนี้มีฝุ่นเยอะแค่ไหน ทำให้สามารถเร่งเครื่องทำงานเองได้ เมื่อไม่มีฝุ่นก็ไม่จำเป็นต้องเปิดแรงให้เปลืองไฟ ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่ได้ประโยชน์ไม่น้อย

เลือกเครื่องฟอกอากาศอย่างมือโปร

 

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นเสริมอีกเยอะแยะ สำหรับฟังก์ชั่นเสริมต่างๆ ถ้าทำให้เครื่องราคาสูงขึ้นมาก หากคุณมองหาเครื่องฟอกอากาศที่คุ้มราคาแล้ว สามารถเลือกโดยเน้นที่ 2 ปัจจัยอย่าง HEPA และปริมาณการผลิตอากาศ (CADR) ก็สามารถได้เครื่องฟอกอากาศที่เพียงต่อต่อการใช้งานทุกวัน รวมถึงการจัดการกับฝุ่น PM2.5 แล้ว

ขอให้ทุกท่านผ่านพ้นวิกฤติพายุฝุ่น PM2.5 ไปได้อย่างปลอดภัย
และได้เครื่องฟอกอากาศที่สามารถกรองให้คุณใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างมีความสุขในอนาคต

ถ้าหากบทความนี้เป็นประโยชน์
รบกวนกดแชร์กันคนละ 1 ทีก็ขอบพระคุณ ♥️

happy little boy using inhaler PMMFCFG 1 5 จุดสังเกตเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศอย่างมือโปร 2019 สู้ #ฝุ่นPM25 (ไม่มีโฆษณา)



Via: 5 จุดสังเกตเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศอย่างมือโปร 2019 สู้ #ฝุ่นPM25 (ไม่มีโฆษณา)

Comments

Popular posts from this blog

19 ป้ายโฆษณา (Billboard) สุดครีเอทที่ออกแบบอย่างสร้างสรรค์จนต้องจำแบรนด์ได้ at iURBAN

สามารถตรวจสอบเครื่องสำอางค์เกาหลีว่าเป็นของแท้หรือไม่ผ่านทาง HiddenTag at iURBAN

DIY : อมยิ้มน้ำตาลคริสตัลแบบโฮมเมด at iURBAN